น้ำมันเครื่องทั้งเบนซิน ดีเซล จะมีมาตรฐานที่เป็นสากลหลักๆคือ API และ SAE โดยในคู่มือรถก็จะมีสเปคน้ำมันเครื่องที่แนะนำให้ใช้ระบุอยู่ แต่ในกรณีที่เราเผลอใช้คนละเบอร์กับที่ผู้ผลิตแนะนำ จะมีผลเสียอะไรบ้าง อ่านได้ด้านล่างเลย
1. กรณีเติมน้ำมันเครื่องผิดเกรด SAE
ก่อนที่ผู้ผลิตจะนำรถรุ่นนึงมาวางขาย จะต้องมีการออกแบบเครื่องยนต์ และมีการทดสอบควบคู่กับน้ำมันเครื่องตามสเปคในคู่มือ เพราะฉะนั้นเรื่องสเปคที่ควรใช้ หรือความถี่ในการเปลี่ยน ทางที่ดีที่สุดควรจะยึดตามหลักคู่มือที่ให้มากับรถ
การใส่ผิดความหนืดหากเลื่อนแค่เกรดเดียวส่วนใหญ่จะไม่ทำให้เกิดปัญหา แต่เพราะการออกแบบเครื่องยนต์แต่ละเครื่องไม่เหมือนกัน ผลของการปรับเกรดในบางเคสอาจมีผลกระทบเยอะอยู่
ในกรณีที่เราใส่ผิดเกรดหนืดขึ้น เช่นรถควรใช้ 0w-20 แต่ไปใส่ 15w-50 แทน เพราะเชื่อว่าจะปกป้องเครื่องยนต์ได้ดีขึ้น
น้ำมันที่หนืดไปอาจไหลได้ไม่เร็วพอ
ในเคสที่ใส่น้ำมันหนืดไปน้ำมันเครื่องอาจไหลไปตามช่องเคลียแรนซ์ หรือช่องว่างตามเพลาข้อเหวี่ยงและแบริ่งได้ไม่ทั่วถึงในขณะเครื่องทำงาน น้ำมันเครื่องจะไม่สามารถสร้างแผ่นฟิลม์ป้องกันได้ดี อาจทำให้มีส่วนที่เหล็กเสียดสีกันและสึกหรอ แค่นั้นไม่พอเครื่องยนต์ยังจะต้องสูญเสียพลังงานในการปั๊มน้ำมันที่หนืดขึ้นอีกด้วยทำให้ลดประสิทธิภาพการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
น้ำมันที่หนืดกว่าจะมีประสิทธิภาพการถ่ายเทความร้อนต่ำกว่าน้ำมันที่หนืดน้อยกว่า อุณหภูมิการทำงานเครื่องยนต์จึงอาจจะสูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อทำให้สารเสริมที่ใส่มาในน้ำมันเครื่องทำงานผิดพลาด หรือเกิดคราบเขม่าน้ำมันเครื่อง หรือ Oil Deposit ได้
เครื่องยนต์รถยนต์สมัยใหม่จะเน้นไปที่ให้เครื่องลดโหลดและประหยัดน้ำมันมากขึ้น โดยเคลียแรนส์ clearance ของเพลาข้อเหวี่ยง และแบริ่งจะมีระยะน้อยลง เพื่อให้รถสามารถใช้น้ำมันเครื่องเกรดต่ำๆถึง 0w-20 หรือ 0w-16 เลย
ในบางกรณีใช้น้ำมันผิดเบอร์ก็ไม่มีผลขนาดนั้น เช่นรถควรใช้ 5w-30 แต่ไปใส่ 10w-30 แทน
การใช้ 10w-30 แทน 5w-30 อาจทำให้ตอนสตาร์ทในอากาศหนาวยากขึ้น เพราะเบอร์ 5w-30 จะไหลได้ดีกว่า 10w-30 ในอุณหภูมิต่ำ แต่น้ำมันสองเบอร์นี้จะมีความหนืดเท่ากันในอุณหภูมิเครื่องยนต์ทำงาน (เบอร์บนเกรดน้ำมันด้านหลังบ่งบอกถึงความหนืดที่ 212ºF)
รถหลายรุ่นจะใช้น้ำมันได้หลายเบอร์ โดยแต่สภาพอากาศเหมาะใช้เบอร์ไหนให้ดูตารางSAE ในคู่มือได้เลย ( ด้านล่างเป็นภาพตัวอย่างจากคู่มือรถ Ninja650 )
แต่บางกรณีที่ใส่น้ำมันหนืดน้อยไปก็มีข้อเสียร้ายแรงได้ เช่นหากใส่น้ำมัน 0w-16 แทน 10w-30 ตามที่ออกแบบมาให้ใช้กับเครื่อง
น้ำมันที่หนืดน้อยไปอาจทำให้ฟิลม์น้ำมันไม่หนาพอทำให้ปกป้องชิ้นส่วนเครื่องยนต์ไม่ได้เต็มที่
แรงเฉือนที่สูงและความร้อนในเครื่องยนต์อาจทำให้น้ำมันเสียประสิทธิภาพขึ้นไปอีกจนไม่สามารถปกป้องเครื่องยนต์ได้เพียงพอ
น้ำมันเครื่องที่หนืดน้อยอาจทำให้แรงดันน้ำมันเครื่องไม่พอทำให้กระทบการทำงานของระบบวาล์ว ทำให้เกิดเสียงและการสึกหรอ
2. ผสมน้ำมันสังเคราะห์100% กับน้ำมันกึ่งสังเคราะห์เข้าด้วยกัน
ถ้าเผลอผสมน้ำมันสังเคราะห์100% กับน้ำมันกึ่งสังเคราะห์เข้าด้วยกันปกติจะไม่ทำให้เกิดปัญหาอะไร แต่ที่ไม่ควรเพราะน้ำมันสังเคราะห์100% มีราคาและคุณสมบัติสูงกว่า การนำไปผสมกับน้ำมันที่เกรดต่ำกว่าก็จะทำให้สารเสริมและคุณภาพของน้ำมันลดลง ไม่แนะนำให้ทำ
3. ผสมน้ำมันสองความหนืดเข้าด้วยกันจะมีปัญหามั้ย
การผสมน้ำมันที่ความหนืดเกรดไม่เท่ากัน เช่นผสม 20w-50 กับ 10w-30 จะทำให้ความหนืดน้ำมันเปลี่ยนไป ในกรณีส่วนใหญ่จะไม่มีปัญหาถ้าไม่เป็นเบอร์ที่แตกต่างกันมาก
4. ผสมน้ำมันคนละยี่ห้อเข้าด้วยกัน
น้ำมันแต่ละยี่ห้อจะมีสารเสริมไม่เหมือนกันซึ่งการผสมน้ำมันเครื่องสองยี่ห้ออาจทำให้ลดประสิทธิภาพของสารเสริมเหล่านี้ได้ หรือทำให้สารเคมีทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ไม่น่ามีผลให้เกิดความเสียหายกับเครื่องยนต์แต่ก็ควรมีความหนืดควรเป็นค่าเดียวกัน
สัญญาณว่าคุณเติมน้ำมันผิดเบอร์มีอะไรบ้าง
- เครื่องยนต์เสียงดังขึ้น หรือมีเสียงติ๊กๆหลังสตาร์ทรถ เพราะชิ้นส่วนต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อให้เครื่องติด
- ถ้ามีรอยน้ำมันหยดตามพื้นอาจมีการรั่ว หรือใช้น้ำมันผิดประเภทเครื่องยนต์
- มีกลิ่นไหม้ตอนขับรถ ในกรณีที่เครื่องยนต์ถูกหล่อลื่น/ปกป้องไม่เต็มที่ ชิ้นส่วนอาจสีกันทำให้น้ำมันถูกเผาไปหมด และทำให้ชิ้นส่วนเสียหายได้
- น้ำมันเครื่องพร่องเยอะ ต้องเติมน้ำมันเครื่องบ่อยขึ้น สาเหตุอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่
- น้ำมันเชื้อเพลิงหมดเร็ว น้ำมันเกรดหนาไปจะไปเพิ่มความต้องการกำลังของเครื่องยนต์ได้
Reference : https://blog.amsoil.com/what-happens-if-i-use-the-wrong-weight-viscosity-of-oil/ , https://cartreatments.com/symptoms-of-wrong-engine-oil/
ติดตามบทความต่อๆไปของเราได้ที่